วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

[น่าสนใจ] 7 สถานที่บอกรัก สุดโรมแมนติก !!!

ดีจ้า หลังจากที่ห่างหายไปนานนนนนนนนนนนนนนแสนนาน

วันนี้ SmiLelY ก็ไปเจอเข้ากับบทความดีๆที่น่าสนใจบทความหนึ่ง

ก็เลยเกี่ยวเอามาลงไว้ที่นี้ซะเลย

เห็นว่าปีนี้คนแต่งงานกันเยอะใช่มั้ยเอ่ย ก็เลยอยากรู้นะว่าพวกเขาบอกรักที่ไหนกัน

ส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นที่ร้านอาหารหรูๆ ที่ทะเล อะไรประมาณนี้ล่ะมั้งเนอะ

แต่รู้มั้ยว่า ในโลกนี้ยังมีอีก 7 สถานที่ที่สุดแสนจะโรแมนติก ในเลือกไปบอกรักกันอยู่นะ

(ถึงมันจะใกล้ไปหน่อยก็เถอะ) ลองดูกันนะ กระซิบๆ เอาไว้เก็บเงินพาไป ฮันนี่มูนก็ได้ อิอิ


1. ลอนดอน อาย กรุงลอนดอน : ประเทศอังกฤษ


ภาพ by Chris Sargent


ประเทศนี้ขึ้นชื่อว่ามีบ้านเมืองที่สวยงามอยู่แล้ว แต่สถานที่โดดเด็ดที่ต้องแนะนำสำหรับคู่รักก็

คือที่นี่เลย “ลอนดอน อาย” ชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีความสูง 135 เมตร

และที่นี่ก็มีวัฒนธรรมแปลกๆอยู่ว่า ผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์

 (เอิ่ม...คุณผู้หญิงต้องมีความกล้ามาทีเดียว)

อ่ะๆ แต่ก็ไม่ใช่จะบอกรักกันเฉยๆแบบคิดจะบอกก็บอกนะ ขึ้นกระเช้าไปอยู่ด้วยกัน

ให้บรรยากาศมันโรแมนติกขึ้นไปอีกนิดดีกว่า ให้กรุงลอนดอนที่สวยงามเป็นฉากหลัง


2. หอไอเฟล กรุงปารีส : ประเทศฝรั่งเศส


ภาพจาก kapook.com

นคร “ปารีส” ใครๆก็รู้ว่าได้รับการขนานนามว่าเป็นนครแห่งความรัก “หอไอเฟล”

ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเทศฝรั่งเศสนี้

จึงได้ชื่อว่าเป็น “สถานที่มีมนต์ขลังในการบอกรัก” กันไปแบบเนียนๆซะอย่างนั้น

ในวันวาเลนไทน์ของทุกปี หอไอเฟลจะคราคร่ำไปด้วยคู่รัก

หลายคนเชื่อว่าบรรยากาศยามค่ำคืนสวยงาม

จะเป็นใจให้หนุ่มๆ กล้าขอคนรักแต่งงาน รวมถึงนักแสดงระดับฮอลลีวู้ด

อย่าง “ทอม ครูซ” ก็ถือโอกาสใช้สถานที่แห่งนี้คุกเข่าขอหมั้นคนรักมาแล้ว


3. ซิดนีย์ ฮาร์เบอร์ บริดจ์ : ประเทศออสเตรเลีย


ภาพจาก swc-yachtcharters.com

ใครที่รอแล้วรออีกว่าเมื่อไรเขาคนนั้นจะมาขอคุณสักที่ เอาเป็นว่าหากยังรักก็ยังมีหวัง

แน่นอนว่า สะพานแห่งความหวัง อย่าง “ซิดนีย์ ฮาร์เบอร์ บริดจ์”

จึงกลายเป็นสถานที่ให้ความหวังของคนที่ต้องการลั่นประตูวิวาห์ในเร็ววัน

ด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมอันงดงาม อากาศสดชื่นพัดผ่าน ยามค่ำคืนแสงไฟสะท้อนผืนน้ำ

ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ “โอเปร่า เฮ้าส์” สถาปัตยกรรมที่เลื่องชื่อระดับโลก

ส่วนผสมที่ลงตัวเหล่านี้ส่งผลให้บรรยากาศที่นี่โรแมนติกไม่แพ้ที่ใด


4. อ่าวมาหยา เกาะพี พี จังหวัดกระบี่ : ประเทศไทย


ภาพจาก cbstour.com

โอ้ว! ประเทศไทยของเราสวยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ เอาเป็นว่าขอมาร์กที่นี่ไว้เลยนะคู่รักทั้งหลาย

“อ่าวมาหยา” เกาะขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของหมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่

เป็นเวิ้งอ่าวขนาดเล็กรูปพระจันทร์เสี้ยวที่โอบล้อมด้วยเขาหินปูน

น้ำทะเลสีเขียวสดจนมองเห็นพื้นทราย ทิวทัศน์สวยงาม เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว

 มีชื่อเสียงระดับโลก หลังจากถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Beach

ที่มี ลีโอนาโด ดิคาปริโอ รับบทนักแสดงนำ

ด้วยธรรมชาติที่งดงามลงตัว รับกับความเงียบสงบ

จึงเหมาะจะเป็นสถานที่เผยความในใจกับคนที่เรารักได้โรแมนติกแบบสุดๆ


5. ตึกเอ็มไพร์สเตท นิวยอร์ก : ประเทศสหรัฐอเมริกา


ภาพจาก chipchick.com

“ตึกเอ็มไพร์สเตท” หนึ่งในอาคารระฟ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก

 เป็นสถานที่รวมบรรดาคู่รักหลากหลายชาติที่ขอใช้ค่ำคืน “วันแห่งความรัก” บนตึกสูงปี๊ด

ประมาณว่า ยิ่งสูง ยิ่งเลิฟ ไฮไลท์ในช่วงวาเลนไทน์ที่กลายเป็นประเพณี

คือ ทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะมีการจัดงานแต่งงานหมู่ให้กับคู่บ่าวสาวนานาชาติกว่า 200 คู่!!!

หากใครอยากสมหวังในความรัก ก็ถือโอกาสนี้ขอแต่งงานดู

เพราะช่วงเวลาที่คนอื่นกำลังทำพิธีน่าจะเป็นช่วงเวลาที่คุณกับคู่รักกำลังอินที่สุด


6. เมืองเวนิส : ประเทศอิตาลี


ภาพจาก miriadna.com

"เวนิส" แค่เห็นชื่อสถานที่ก็รู้ถึงความโรแมนติกที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ

เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย

ถือเป็นเมืองที่มีการใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด

การบอกรักบนเรือจึงถือเป็นอะไรที่โรแมนติกเหลือจะบรรยาย

เชื่อกันว่า ถ้าคู่รักได้นั่งจูบกันบนเรือกอนโดลา อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส

และพลอดรักตอนระฆังปาไนล์ดังยามเย็น

ขณะลอดใต้ “สะพานถอนหายใจ” จะส่งผลให้รักกันยืนนาน


7. หาดไวกีกิ ฮอนโนลูลู : ฮาวาย


ภาพจาก happyvirus webboard

หาดไวกีกิ ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลที่โรแมนติกมากที่สุดแห่งหนึ่ง

ยิ่งแสงอาทิตย์ตกสะท้อนลงผิวน้ำในยามเย็น

ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสวยงามของทัศนียภาพอันหาที่เปรียบมิได้

คู่รักส่วนใหญ่พากันเดินเล่นเลียบชายหาดไปจนถึงจุดที่เรียกว่า Diamond Head

ถือเป็นมุมที่งดงามที่สุดของไวกีกิ

หาดจะโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์รับกับแสงไฟระยิบระยับสะกดทุกสายตา

ช่วงเวลาแบบนี้แหละ “บอกรัก” ได้เนียนที่สุด



ที่มา Travel.mthai.com

ขอขอบคุณ Yenta4.com

หมายเหตุ : อาจมีการเปลี่ยนแปลงสำนวนที่ใช้เล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับความเป็น SmiLelY

แต่ไม่ได้มีการทำให้ความหมายของบทความเดิมเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

[น่าสนใจ + สุขภาพ] 18 สาเหตุที่ทำให้เราเหนื่อยแสนเหนื่อย !!!


SmiLelY กลับมาแล้วจ้า กลับมาพร้อมกับสาระดีๆที่หนีบมาฝากกันอีกแล้ว

ช่วงที่ผ่านมาเน้นไปอัพทาง Facebook ซะมากกว่า ยังไงเพื่อนๆก็ไปกด LIKE เป็นแฟนเฟจกันได้นะจ้ะ

ที่ https://www.facebook.com/SmiLelysPhoTo

จะได้รับรู้ข่าวสารกันมากขึ้น แชร์เรื่องน่าสนใจไว้เยอะแยะมากมายเลยล่ะจ้ะ



เอาล่ะ!! เรามาเข้าเรื่องของเราในวันนี้กันเลยดีกว่าเนอะ

ช่วงนี้หลายๆโรงเรียนก็เปิดเทอมมาได้สักระยะแล้วล่ะเนอะ บางทีก็น่าจะใกล้สอบกลางภาคกันแล้ว

หลายๆคนคงกำลังเหนื่อยน่าดูเลยใช่มั้ยล่ะ อากาศก็ร้อน เรียนก็หนัก เฮ้อ...ชีวิตเด็กนักเรียน

แต่รู้หรือเปล่าว่าร่างกายเราเนี่ย ไม่ได้เหนื่อยแค่กับการเรียน การอ่านหนังสือสอบ หรือการเดินทางไปกลับเท่านั้นนะ

มันยังมีอีกตั้ง "18 สาเหตุ" ที่ทำให้ร่างกายของเรา เหนื่อยซะเหลือเกิน


ตามมาดูกันว่ามันคืออะไรกันมั้ง



1.ใช้โทรศัพท์มากเกินไป

คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า "phone-fatigue" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมาก ระหว่างคุย


2.ความดันเลือดต่ำ

ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุปปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์





3.เล่นเน็ตดึกเกินไป

ฮอร์โมนเมลาโทนินจะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์ อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า


4.กินอาหารไม่เต็มที่

การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้น ที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะ การขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของ ความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย



5.ไม่ออกกำลัง

นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้ง ก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังเลย ประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไป ให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4-5 จานต่อวัน จะออกกำลังได้อย่างสบายๆ


6.อิทธิพลของเดือนเกิด

ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียใหนช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลังให้กับคนประเภทแรก


7.กรามแข็ง

คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่าโรค TMJ (temporomandi bular joint) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลียและปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์




8.ธรณีหน้าต่างสกปรก

จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่า มีราหรือเปล่า




9.ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด

ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดดเป็นประจำ เมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มีไรฝุ่น



10.เชื่องช้า งุ่มงาม

ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน





11.อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย

คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขา ให้จินตนาการว่าคุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกัน ก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้



12.อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป

ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศ อาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึม เศร้า ให้เสียบปลั๊กตัวแปลงขั้วไฟฟ้า เพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ



13.ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า

ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่า ผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย


14.บ้านรก

ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่า กองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลัง และกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้




15.ร่างกายมีปัญหา

แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิง สัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆ อาจรวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อยและความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี ควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ


16.กลั้นหาว

การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของกรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขี้น


17.ใช้ชีวิตตามตาราง

ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่า ต้องทำอะไรบ้างคือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขาทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่าคนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ




18.หมอนเก่าเกินไป

ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับ แล้วยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วยถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขน คุณได้ ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้ว





ขอขอบคุณ : http://webboard.yenta4.com/topic/527197


                     : เจ้าของรูปสวยๆทุกรูปที่อยู่ในบทความนี้




วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[สุขภาพ] อาหารล้างพิษ ฟื้นฟูร่างกายหลังดูบอล !!!


ช่วงนี้มีบอลยูโรใช่มั้ยจ้ะแฟนบอลทุกคน หลายๆคนที่อยู่ดูบอลกันดึกๆแน่นอนว่าต้องมีอาหารว่างข้างกายชัวร์เลย แล้วการทานอาหารดึกๆเนี่ยไม่ดีกับร่างกายเลยนะจะบอกให้ เพราะงั้นเพื่อไม่ให้ป่วยจนอดดูนัดชิงชนะเลิศ เรามาทำการล้างพิษออกจากร่างกายกันหน่อยดีกว่า

ขอบคุณบทความดังเดิม : http://lady.one.in.th



สาหร่าย - พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม แต่ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดาระบุชัดว่า สาหร่ายสามารถดูดซึมของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรังสีจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งพลังงานความร้อนจากรังสีเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ สาหร่ายยังอุดมไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่จำนวนมาก

หัวหอม - ประกอบด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น รักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือรักษาโรคเบาหวานได้ โดยช่วยทำให้ระดับน้ำตาลคงที่

มะนาว - สุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ ทั้งยังมีวิตามินซีสูง การดื่มน้ำมะนาวสดผสมกับน้ำอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอน จะสามารถช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย



กระเจี๊ยบ - น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก มีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง

ทับทิม - ตำราแพทย์แผนโบราณของเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด จึงช่วยล้างพิษ ลด การติดเชื้อของเชื้อโรค และลดอาการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ นอกจากนี้ ทับทิมยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

พืชตระกูลถั่ว - ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือถั่วขาว ล้วนมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทั้งยังสามารถลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้

ขึ้นฉ่าย - สุดยอดอาหารทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต การดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าจะช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ นอกจากนี้ ขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง รวมไปถึงช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

แครอต - อุดมไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับระบบทางเดินประสาท สายตา และผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ

มะเขือพวง - มะเขือพวงอุดมด้วยไฟเบอร์จึงช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร ที่สำคัญคือสามารถช่วยจับไขมันอิ่มตัวและขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่ายได้ ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็ว จึงลดการสะสมของของเสียได้อยู่



ส้มโอ / เกรปฟรุต - คนตะวันตกนิยมกินเกรปฟรุตในอาหารมื้อเช้า เนื่องจากสารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทาง เดินในหลอดเลือดได้ ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนด้วย

กระเทียม - กระเทียมช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิ รวมไปถึงไวรัสในทางเดินอาหารได้อย่างดี ทั้งยัง ต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น

บลูเบอร์รี่ - ในบลูเบอร์รี่นั้นมีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยลดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้ การกินบลูเบอร์รี่ยังช่วยขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะลดลง ที่สำคัญคือมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก จึงถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

กะหล่ำ - ช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ โดยพืชตระกูลกะหล่ำได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม เป็นต้น



บีตรูต - ผักมหัศจรรย์ที่ประกอบไปด้วยไฟโตเคมีคอล วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด จึงมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้กำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วย และล่าสุดยังพบว่าบีตรูต ช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ



อะโวคาโด - ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนักได้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า ผู้สูงอายุที่กินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนเป็นประจำ จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ตำลึง - ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ มีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายได้อีกด้วย

แอปเปิล - ประกอบไปด้วยเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยล้างพิษได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง รวมทั้งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้

อัลมอนด์ - มีใยอาหาร แคลเซียม และโปรตีนสูง แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย การกินอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด



กล้วย - หากินได้ง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล นอกจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 10 วิตามินซี โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก และทองแดงแล้ว กล้วยยังมีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงให้กับกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันสารทริปโตแฟนที่มีอยู่ในกล้วยยังช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารส่งผ่านประสาทหรือนิวโรทรานสมิตเตอร์ที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบ ผ่อนคลายมากขึ้น ทริปโตแฟนนี้ยังช่วยขจัดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคนอนไม่หลับได้ด้วย อ้อ การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกและทำให้ระบบขับถ่ายเป็น ปกติอีกด้วย



ที่มาข้อมูล : http://women.sanook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-830938.html

ขอขอบคุณ : รูปภาพสวยๆจากเว็บไซด์ต่างๆ

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ อาจมีการดัดแปลงนิดหน่อย เพื่อให้เข้ากับความเป็น smilelyphoto.blogspot.com แต่จะไม่มีการทำให้เนื้อหาเสียใจความสำคัญ หรือเนื้อหาหลักแต่อย่างใด

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[น่าสนใจ] 9 ประโยชน์จากการ "จุจุ๊บ" !!!

คำเตือน (ที่ไม่รู้ว่าควรมีมั้ย) : บทความนี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน ไม่ได้ชี้แนะให้คู่รักไม่รักนวลสงวนตัว การแสดงออกทางความรักเป็นเรื่องดี แต่ควรถูกที่ ถูกเวลา ถูกกาลเทศนะจ้ะ


คำเตือน (อีกนิด) : ผู้ใดที่ก๊อปบทความนี้ไป กรุณาเอาไปทั้งหมด รวมทั้งเครดิตด้านล่าง และ เครติด  http://smilelyphoto.blogspot.com  ด้วยนะจ้ะ ขอบคุณสำหรับความรวมมือ
__________________________________________________________

อ่ะๆๆๆเห็นหัวข้อกันไปแล้วก็อย่าพึ่งแปลกใจ อย่าพึ่งสงสัย และอย่าพึ่งไม่เชื่อกันจนปิดบทความนี่ไป

การจุจุ๊บ หรือการจูบกันเนี่ยมันมีประโยชน์จริงๆนะเออ แถมยังมีมากมายถึง 9 ข้อด้วยกันอีกตะหาก

แต่จะเป็นประโยชน์อะไรบ้างนั้น เราต้องไปอ่านด้วยกันนะจ้ะ

เอ้า!มาเริ่มกันเลย


1. การจูบช่วยยับยั้งฟันผุ


ผู้เชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมแห่งสมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษอย่าง ทันตแพทย์ Peter Gorden ได้กล่าวไว้ว่า “หลังจากที่เรารับประทานอาหารเข้าไป ช่องปากของพวกคุณจะเต็มไปด้วยสารละลายจำพวกน้ำตาลและกรดในน้ำลาย ซึ่งเป็นตัวการในการสร้างคราบพลัก การจูบถือว่าเป็นวิธีแห่งธรรมชาติอย่างหนึ่งในการกำจัดคราบเหล่านั้น” ท่านยังเสริมอีกว่า “การจูบเป็นตัวช่วยให้น้ำลายชำระคราบพลักออกให้อยู่ในระดับปกติทั่วไป



2. การจูบเป็นวิธีที่จะช่วยลดภาวะตึงเครียด 

การจุมพิตอย่างดูดดื่มถือว่าเป็นเทคนิคเยี่ยมยอดในการผ่อนคลายนอกจากนี้, Michelle Kay Mcnabb นักปรึกษาทางด้านลดภาวะความตึงเครียดกล่าวเสริมว่า “ทุกครั้งที่คุณจูบ รูปปากจะมี่ลักษณะเหมือนยิ้มไปโดยอัตโนมัติ และเมื่อทั้งภาษากายและภาษาใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่สภาวะตรึงเครียดจะเกิดขึ้นได้ ณ ช่วงเวลานั้น และนอกจากนี้แล้ว เวลาที่คุณจูบ คุณจะหายใจแรง และหลับพริ้มไปในขณะที่คุณจูบ นั้นก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์จากโลกที่แสนจะวุ่นวายนี้เช่นกัน”



3. การจูบช่วยลดน้ำหนัก !!!

แล้วจะต้องจุมพิตกันมาราธอนนานขนาดไหนกันละถึงจะลดน้ำหนักได้? คุณต้องใช้พลังงาน 3,000 แคลลอรี่ในการลดน้ำหนัก 1 ปอนด์ Claire Potter กล่าวว่า “การจูบที่มาราธอนช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมเผาผลาญน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น การเผาผลาญจะได้มากน้อยเท่าไร ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ด้วย โดยทั่วไปแล้ว ในการจูบ 10 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ถึง 10 แคลลอรี่


4. การจูบช่วยยับยั้งวัยชรา 

Claire Potter ที่ปรึกษาทางด้าน fitness แห่งนิตยสาร Cosmo กล่าวว่า “การจูบช่วยให้กล้ามเนื้อแก้มและขากรรไกรของคุณปรับให้เข้ารูปมากยิ่งขึ้น ทำให้ชะลอการเกิดการย่อนคล้อยตรงบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี”


5. การจูบช่วยเพิ่มพลังในการออกกำลังกาย 

หัวใจคุณกำลังเต้นแรง ชีพจรคุณยิ่งพุ่งปรี๊ด “ถ้าการจูบสร้างความตื่นเต้นให้แก่คุณ ร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลีนสู่กระแสเลือด ทำให้หัวใจคุณสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย” แพทย์หญิง Susan Hotchkies ยังเสริมอีกว่า “ถือว่าการจูบเป็นการกระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม


6. การจูบช่วยชี้ทางสว่างให้กับหนุ่มสาวในการเลือกคู่ 

การที่คุณได้รับสัมผัสรสจูบจากชายหนุ่มหน้าใหม่ทำให้คุณได้รับรู้ถึงฟีโรโมน (สารเคมีที่บ่งบอกถึงเสน่ห์ดึงดูดทางเพศ) ของเขา นักบำบัดทางด้านความสัมพันธ์และการแต่งงานกล่าวว่า “การจุมพิตครั้งแรกมักจะบ่งบอกว่าคุณและเขาจะไปด้วยกันได้หรือไม่ในภายภาคย์หน้า โดยปกติแล้วคนเราคิดว่ากลิ่นมักจะกระตุ้นแรงดึงดูดแห่งจิตใต้สำนึกของเราได้ และถ้าฟีโรโมนของคุณ “ไม่โดน” แล้วละก็ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะเมินเฉยไปเลยก็ได้”




7. การจูบทำให้เราเกิดความมั่นใจ 

ปัจจัยหนึ่งในการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะดีไปกว่าการจูบ ดังที่นักบำบัดทางด้านจิตวิทยา Paul Zeal ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “ในทางทฤษฎีแล้ว เมื่อคุณจูบอย่างดูดดื่ม คุณจะรู้สึกได้ถึงการมีความสุข และเมื่อคุณมีความสุขคุณก็จะรู้สึกดีต่อตัวคุณเอง


8. การจูบทำให้ความรู้สึกโดยรวมดีขึ้นอย่างน่าประหลาด 

ได้มีเอกสารรายงานทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า การจูบจะช่วยให้ร่างกายส่งสัญญานไปยังสมองเพื่อหลั่ง Oxytocin (ฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกดีโดยรวม) และทางหลักชีววิทยาแล้ว การที่เราจูบหนึ่งครั้ง มักจะส่งผลให้มีการจูบตามมาเรื่อยๆ เมื่อเราจูบแล้วสารเคมีที่อยู่ในปากจะถูกส่งต่อเมื่อริมฝีปากประกบกัน ทำให้เกิดความรู้สึกโดยรวมที่ดียิ่งขึ้นไปอีก


9. การจูบทำให้การงานดีขึ้น

นักจิตวิทยาและนายแพทย์ชาวเยอรมันได้วิจัยว่า สามีที่จูบภรรยาก่อนไปทำงานมีอัตาการขาดงานที่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้จูบ นอกเหนือจากนี้แล้วสามีที่จูบภรรยาก่อนไปทำงานมักจะประสบอุบัติเหตุระหว่างทางไปทำงานน้อยกว่าปกติ 20-30 เปอร์เซ็นต์ และมีชีวิตอยู่ยืนยาวคนทั่วไปถึงกว่า 5 ปีเลยทีเดียว Dr. Arthur Sazbo หนึ่งในนักจิตวิทยาชาวเยอรมันได้ให้ความเห็นไว้ว่า เหตุผลที่สนับสนุนเคล็ดลับช่วยให้ชีวิตยืนยาว เพราะสามีที่จูบภรรยาก่อนออกไปทำงานมักจะเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยความสดใสและมองโลกในด้านบวกเสมอ

















ขอขอบคุณ : naddate.com , siamdara.com และรูปภาพจากบอร์ดต่างๆ


หมายเหตุ : บทความที่เอามาอาจมีการปรับแต่งให้เข้ากับความเป็น SmiLelY นิดหน่อย สามารถดูบทความเดิมได้ที่ http://www.siamdara.com/ColumnGirl.asp?cid=4639

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[หาบ้าน] หมาน้อยน่ารักจาก"มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย" !!!

สวัสดีจ้าทุกคน พรุ่งนี้เป็นวันดีวันหนึ่งของศาสนาพุทธ

ทาง SmiLelY จึงขอนำเสนอโอกาสทำบุญดีๆ

โดยการรับอุปการะน้องหมาไปอยู่บ้านสักตัว

ใครที่ต้องการเลี้ยงสุนัข หรือกำลังมองหาเพื่อนไว้แก่เหงา ไว้เฝ้าบ้านสักตัว

ลองเลือกจากน้องหมาเหล่านี้ดูนะจ้ะ

_______________________________________________________

ข้อความจากเพจ [ มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย, ประเทศไทย (Soi Dog - in Thai) ] 


หมายเหตุ : อาจมีการตัดแบ่งประโยคเพื่อความเหมาะสม 


แต่ไม่มีการเปลี่ยนเนื้อหา ใจความที่เจ้าของเพจต้องการสื่อแต่อย่างใด




น้องหมาสังกัด Soi Dog มาหาบ้านค่ะ

น้องๆ เหล่านี้ยังเป็นลูกสุนัข อายุเพียงไม่กี่เดือน

เราอยากให้พวกเค้าได้มีบ้านที่แท้จริงค่ะ

ฝากพี่ๆช่วยแชร์ด้วยนะค๊ะ


ตอนนี้น้องๆ อยู่ที่มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย จ.ภูเก็ต

โดยสามารถจัดส่งให้ได้ทุกที่

เพียงแต่ผู้รับอุปการะจะต้องเป็นผู้ออกค่าเดินทางให้กับน้องๆค่ะ

(ค่าตั๋วเครื่องบินจาก ภูเก็ตมากรุงเทพ 2000 บาท + ค่ากรงสำหรับเดินทาง)


สนใจรับน้องๆไปอุปการะ สามารติดต่อสอบถามได้ที่ Cindy@soidog.org 

(รบกวนแนบภาพหรือระบุชื่อน้องๆที่ต้องการอุปการะเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะค๊ะ)

ไม่สนใจรับเลี้ยง ก็ฝากช่วยกันแชร์ประกาศด้วยน้าาาา

ทำบุญด้วยการกด กด กด ^__^

ปล.ยิ่งหมาออกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพื้นที่รับหมาใหม่เข้ามาดูแลในศูนย์มากขึ้นเท่านั้นจ้าาาาาา

_______________________________________________________

เป็นยังไงมั้งค่ะ น้องๆแต่ละตัวก็น่ารักดีเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ ใครสนใจสามารถติดต่อไปได้เลยนะจ้ะ

อย่างที่เจ้าของเพจบอก ยิ่งน้องหมามีบ้านมากเท่าไร

น้องหมาตัวอื่นๆที่ยังไมไ่ด้รับความช่วยเหลือ ก็จะมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นเท่านั้น

แต่หากใครไม่สนใจจะรับเลี้ยงแต่อยากจะช่วยเหลือ ก็เพียงแค่กด "แชร์" บทความนี้ออกไปมากๆเท่านั้นเองจ้า

จะได้เพื่อโอกาสให้คนที่อยากรับเลี้ยงได้เลือกน้องหมาเนอะ











ขอบคุณ : มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย, ประเทศไทย (Soi Dog - in Thai)

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

[PIC] Pet Expo Thailand 2012 งานที่คนรักสัตว์ห้ามพลาด !!!

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ได้จัดงานๆหนึ่งขึ้น

ซึ่งก็คื่องาน "Pet Expo Thailand 2012" นั่นเอง

เชื่อว่างานนี้คงเป็นที่สนใจของพลพรรคคนรักสัตว์ทั้งหลายอย่างแน่นอน

ภายในงานมีอาหาร เสื้อผ้า และของใช้ต่างๆของสัตว์เลี้ยงให้คุณเจ้าของได้เลือกมากมาย

(แต่ที่น่าเสียดายก็คือลดราคาไม่เท่าไร หากใครจะมาไกลๆ เพื่อหวังมาซื้อของถูก ก็ต้องบอกว่าไม่คุ้มเท่าไร)

แล้วยังได้พาเจ้าตัวโปรดของคุณๆออกมาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆนานาชนิดอีกด้วย

ในประเทศไทยสถานที่ในร่ม ติดแอร์เย็นสบายแบบนี้ ไม่ได้เปิดโอกาสให้พาสัตว์เลี้ยงเข้าไปเดินกันง่ายๆนะเออ

นี้จริงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปิดหูเปิดตากับบรรยากาศใหม่ๆ เชื่อว่าเจ้าตัวแสบทั้งหลายคงจะสนุกกันไม่น้อยทีเดียว

เอาเป็นว่าเรามาชมสัตว์ที่น่าสนใจภายในงานกันดีกว่า ส่วนสินค้าต่างๆก็มีหลากหลายยี่ห้อ ทั้งที่เห็นกันทั่วไป และนำเข้า ยังไงลองไปเลือกซื้อเลือกหากันได้นะจ้ะ

อ๋อ!!เกือบลืมไป งานนี้ก็มีแจกน้องหมา น้องแมวจรจัดไปเลี้ยงฟรีๆด้วยนะ ไปเล่นกับน้องๆมาแล้ว น่ารักรับแขกสุดๆ

_________________________________________________________

โซน "น้องหมา" 
 



เจ้าปอมๆตัวเล็กพวกนี้ โชว์ตัวกันสุดๆเลยล่ะ 


เจ้าตัวนี้นั่งอยู่ตรงนั้น 15 นาที นอน ลูกเดียว 


ผิดกับตัวนี้ เดินมาทำหน้าอ้อนๆใส่กล้อง (ไม่หลงกลหรอกนะ ถึงจะหวั่นไหวก็เถอะ)



โซน "สัตว์ปีก"


สะพายเป้ด้วยล่ะ




จุ๊ฟๆ เขามาเป็นคู่ แถมหวงๆกันด้วยล่ะ น่ารักมากเลย


เจ้าเวหาก็มาก เขามากันเป็นแก็งด้วยนะ


แย่งกันกิน - -"


สีเขียว : ทำไงอ่ะ?

สีฟ้า : จุ๊ๆๆ กำลังจะแกะเชือกหนี

สีเขียว : เราไม่ได้โดนล่ามซะหน่อย

สีฟ้า : = [] = !!!


ตัวนี้เป็นพันธ์ที่ฉลาดสุดๆ จะแสนรู้แค่ไหนต้องไปลองกันนะจ้ะ



โซน "กระต่ายและสัตว์ฟันแทะ"


บ้ากล่องนะเราอ่ะ - -"


หวานแหววกันอยู่สองตัว



ฮอลแลนด์ ฮอล์ป (กระต่ายน้อยหูตก)


ตัวนี้ใหญ่มาก เท่าลูกหมาพันธ์ใหญ่ๆได้เลยล่ะ


ส่วนตัวนี้ก็เล็กจิ๊ดเดียว แต่ไลเนอร์ที่ตา ชนะขาด อิอิ


แก้มยุ้ย ละบ้ากล้องมากๆ


โซน "สัตว์แปลก"



  ตัวอะไรไม่แน่ใจ แต่สีสวยมากๆ สีสดสุดพลัง 




เต่าน้อย ช้าแต่ก็น่ารักนะ 




ถ้าจำไม่ผิดเขาจะเรียกว่าหนูจิงโจ้ 

เพราะเขามีขาหลังไว้กระโดดเหมือนจิงโจ้เลย

 

กิ้งกา (ชื่อเจาะจงกว่านี้ไม่มั่นใจ แหะๆ)


สุดท้าย เจ้าหมาจิ้งจอกทะเลทรายตัวโปรดของ SmiLelY 

แต่ว่าเพราะเอาไฟส่องเขาตลอดเวลา

เขาจริงขดตัวนอนไม่ยอมลุกไปไหน 

น่าเสียดายๆ เพราะเขาน่ารักมาก

 _________________________________________________________

นี่เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ภายในงานยังมีอะไรอีกมากมาย

ใครสนใจ งานจะมีถึงวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2555 เป็นวันสุดท้าย หรือก็คือวันนี้นี่เอง

ยังพอมีเวลา เดินทางด้วย "รถไฟฟ้าใต้ดิน" สะดวกสบาย รวดเร็ว ถึงที่หมายปลอดภัย

อย่าลืมไปกันให้ได้นะจ้ะ


















ปล. ใครที่เอาภาพไปลงที่อื่น กรุณาให้เครดิต ที่มาที่ไปด้วยนะจ้ะ แจ้งไว้ด้วยก็ดี


ปล2. ขออภัยเรื่องชื่อ และประเภทของสัตว์ต่างๆ


ขอบคุณ : เจ้าของร้าน เจ้าของสัตว์ต่างๆที่ยอมให้ถ่ายรูป